ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

วางใจการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า

ขณะขับรถพาเราไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สามีของฉันสังเกตว่าระบบนำทางของจีพีเอสจู่ๆก็ดูผิดปกติไป หลังจากที่เราขับเข้าไปบนทางหลวงสี่เลนที่ดูน่าจะถูกต้อง เราถูกนําทางให้ขับออกไปวิ่งบนถนนเลนเดียว ซึ่งเป็น “ถนนสายรอง” ขนานกับทางหลวง “ผมก็แค่เชื่อมัน” แดนกล่าวโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องความล่าช้าใดๆ แต่หลังจากผ่านไปประมาณ 16 กม. การจราจรบนทางหลวงที่อยู่ข้างๆ เราชะลอตัวจนเกือบจะหยุดนิ่ง เพราะมีการก่อสร้างใหญ่ แล้วถนนสายรองล่ะ ด้วยการจราจรที่บางเบากว่าทำให้ทางโล่งไปถึงจุดหมายของเรา “ผมไม่สามารถเห็นทางข้างหน้าได้” แดนกล่าว “แต่จีพีเอสมองเห็น” หรือเหมือนที่เราเห็นตรงกันว่า “พระเจ้าทรงมองเห็นเช่นกัน”

เมื่อพระเจ้าทรงรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พระองค์ทรงเปลี่ยนเส้นทางผ่านความฝันแก่พวกโหราจารย์ผู้ซึ่งมาจากทิศตะวันออกเพื่อนมัสการพระเยซู “ผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติ” (มธ.2:2) กษัตริย์เฮโรดเป็นกังวลกับข่าวเรื่องกษัตริย์ “คู่แข่ง” พระองค์จึงลวงพวกโหราจารย์ให้ไปยังบ้านเบธเลเฮมโดยสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย” (ข้อ 8) ด้วยคำเตือนในความฝัน “มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด” ดังนั้น “เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น” (ข้อ 12)

พระเจ้าจะทรงนำย่างเท้าของเราเช่นกัน เมื่อเราเดินบนทางหลวงแห่งชีวิต เราไว้วางใจได้ว่าพระองค์ทรงเห็นเหตุการณ์ภายหน้าและยังคงมั่นใจได้ว่า “พระองค์จะทรงกระทำให้วิถี[ของเรา]ราบรื่น” เมื่อเรายอมรับการทรงนำของพระองค์ (สภษ.3:6)

นกในอากาศ

ขณะที่ดวงอาทิตย์ของฤดูร้อนกำลังโผล่ขึ้นมา เพื่อนบ้านผู้ยิ้มแย้มเห็นฉันที่สวนหน้าบ้านจึงกระซิบเรียกให้ฉันดู “อะไรหรือ” ฉันกระซิบตอบด้วยความสนใจ เธอชี้ไปที่โมบายแขวนที่ระเบียงหน้าบ้าน มีกองฟางขนาดเท่าถ้วยชาเล็กๆตั้งอยู่บนกระดิ่งโลหะ “รังนกฮัมมิงเบิร์ด” เธอกระซิบ “เห็นลูกๆมันไหม” มีปากเล็กๆเท่ารูเข็มสองปากที่มองเกือบไม่เห็นเพราะมันชี้ขึ้นด้านบน “พวกมันกำลังรอแม่อยู่” เรายืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกอัศจรรย์ใจ ฉันยกมือถือขึ้นเพื่อถ่ายรูป เพื่อนบ้านกระซิบว่า “อย่าใกล้เกินไปนะ ไม่อยากทำให้แม่มันกลัวจนหนีไป” และเวลานั้นเอง เราก็ได้รับเลี้ยงครอบครัวนกฮัมมิงเบิร์ดแบบระยะไกล

แต่ไม่นานหลังจากหนึ่งสัปดาห์แม่นกและลูกๆก็จากไปแบบเงียบๆเหมือนตอนที่พวกมันมา แต่ใครจะดูแลพวกมันล่ะ

พระคัมภีร์ให้คำตอบที่น่าประทับใจที่เราคุ้นเคยดี เราอาจคุ้นเคยเสียจนลืมคำสัญญาบางส่วนไป พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน” (มธ.6:25) เป็นคำสอนที่เรียบง่ายแต่งดงาม พระองค์ตรัสอีกว่า “จงดูนกในอากาศมันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้” (ข้อ 26)

พระเจ้าทรงดูแลเราเหมือนที่ทรงดูแลนกตัวเล็กๆ ทรงเลี้ยงดูความคิด ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเรา นี่คือพระสัญญาอันเลิศประเสริฐ ให้เรามองไปที่พระองค์ในทุกวัน ไม่ต้องวิตกกังวล และทะยานต่อไป

น้ำแห่งชีวิต

ดอกไม้สดเหล่านี้ถูกส่งมาจากประเทศเอกวาดอร์ กว่าจะมาถึงบ้านของฉันก็ดูทั้งหมองและเหี่ยวเฉา ในคู่มือบอกให้ชุบชีวิตพวกมันด้วยน้ำเย็นสดชื่นแต่ก่อนอื่นต้องทำการเล็มปลายก้านออกเพื่อที่ดอกไม้จะดูดน้ำได้ดียิ่งขึ้น ว่าแต่พวกมันจะอยู่รอดไหมนะ

เช้าวันต่อมาฉันก็ได้คำตอบ ช่อดอกไม้จากเอกวาดอร์ช่างงดงามไปด้วยดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำสะอาดสดชื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ซึ่งเตือนให้คิดถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้เกี่ยวกับน้ำและความหมายของน้ำสำหรับผู้เชื่อ

เมื่อพระเยซูทรงขอน้ำดื่มจากหญิงสะมาเรีย ทรงบอกเป็นนัยว่าจะดื่มน้ำที่เธอตักขึ้นมาจากบ่อน้ำ พระองค์ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจกับคำขอของพระองค์เพราะชาวยิวดูถูกชาวสะมาเรีย แต่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยน.4:10) ต่อมาพระเยซูทรงประกาศในพระวิหารว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม” (7:37) ในท่ามกลางผู้ที่เชื่อในพระองค์ “แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ” (ข้อ 38-39)

ในวันนี้พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงชุบชีวิตเราแล้วในยามที่เราเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต สถิตอยู่ในจิตวิญญาณของเราด้วยความสดชื่นอันศักดิ์สิทธิ์ ให้เราดื่มอย่างเต็มที่ในวันนี้

เรียนรู้และรัก

ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองกรีน็อค ประเทศสก็อตแลนด์ ครูสามคนที่ลาคลอดพาลูกน้อยของพวกเขาไปที่โรงเรียนทุกๆสองสัปดาห์เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กนักเรียน การได้เล่นกับทารกจะสอนให้เด็กๆมีความเห็นอกเห็นใจ หรือห่วงใยและเข้าใจผู้อื่น ส่วนมากแล้วนักเรียนที่เปิดรับได้ดีคือนักเรียนที่ “ค่อนข้างเกเร” ตามคำบอกเล่าของครูคนหนึ่ง “หลายครั้งนักเรียนจะตอบสนองได้ดีกว่าในระดับตัวต่อตัว” พวกเขาเรียนรู้ว่า “การดูแลเด็กหนึ่งคนนั้นเป็นงานที่หนักแค่ไหน” และ “เรียนรู้ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น”

การเรียนรู้จากเด็กทารกในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู เรารู้จักพระองค์ผู้เสด็จมาในฐานะพระกุมารเยซู การประสูติของพระองค์เปลี่ยนทุกอย่างที่เราเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ต้องดูแลซึ่งกันและกัน คนกลุ่มแรกที่รู้เรื่องการประสูติของพระคริสต์คือคนเลี้ยงแกะ ซึ่งประกอบอาชีพต่ำต้อยที่คอยดูแลแกะที่อ่อนแอและป้องกันตัวเองไม่ได้ ต่อมาตอนที่เด็กๆถูกพามาหาพระเยซู พระองค์ทรงตำหนิสาวกที่คิดว่าเด็กๆนั้นไม่คู่ควรว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” (มก.10:14)

พระเยซู “ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้” (ข้อ 16) ในชีวิตของเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ “เกเร” บ้างเป็นบางครั้ง เราอาจถูกมองว่าไม่คู่ควรเช่นกัน แต่พระคริสต์ผู้เสด็จมาเป็นทารกน้อย ได้ทรงยอมรับเราด้วยความรักของพระองค์ เพื่อเป็นการสอนเราถึงความสำคัญของการดูแลทารกและผู้อื่น

กำลังที่จะปล่อยวาง

พอล แอนเดอร์สัน นักยกน้ำหนักชาวอเมริกันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะชายที่แข็งแรงที่สุดในโลก เขาสร้างสถิติโลกในกีฬาโอลิมปิกปี 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย แม้มีอาการติดเชื้อที่หูชั้นในอย่างรุนแรงและมีไข้ 39.4 องศา คะแนนของเขาตามหลังอยู่ โอกาสเดียวที่เขาจะได้เหรียญทองคือสร้างสถิติโอลิมปิกใหม่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขา ความพยายาม ในการยกสองครั้งแรกของเขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

ดังนั้นนักกีฬาที่กำยำผู้นี้จึงทำในสิ่งที่แม้แต่คนอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราก็ทำได้ เขาทูลขอกำลังพิเศษจากพระเจ้าและปล่อยวางกำลังของตนเอง ดังที่เขาพูดในภายหลังว่า “มันไม่ใช่การต่อรอง ผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ” ด้วยการยกครั้งสุดท้าย เขายกน้ำหนัก 187.5 กก. ขึ้นเหนือศีรษะ

เปาโลอัครทูตของพระคริสต์เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (2คร.12:10) เปาโลกำลังพูดถึงกำลังฝ่ายวิญญาณ แต่ท่านรู้ว่า “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของ[พระเจ้า]ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)

ดังที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์ประกาศว่า “พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง” (อสย.40:29)

แล้วอะไรคือเส้นทางสู่กำลังดังกล่าว นั่นคือการเข้าสนิทอยู่ในพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยน.15:5) พอล นักยกน้ำหนักมักจะพูดว่า “ถ้าชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกไม่สามารถผ่านพ้นหนึ่งวันไปได้โดยปราศจากกำลังของพระเยซูคริสต์ แล้วคุณจะเหลือทางเลือกอะไร” เราจะรู้ได้ก็โดยการปล่อยวางการพึ่งพาในกำลังที่เป็นภาพลวงของเราลง และทูลขอความช่วยเหลือที่เข้มแข็งและเหนือกว่าจากพระเจ้า

ความดีของพระเจ้าจะติดตามไป

งานแรกที่ฉันทำตอนเรียนมัธยมปลายเป็นงานในร้านขายเสื้อผ้าสตรี ที่จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงแต่งตัวเป็นลูกค้าเดินตามผู้หญิงที่เขาคิดว่าอาจจะเข้ามาขโมยสินค้า คนบางคนมีหน้าตาท่าทางน่าสงสัยตามความคิดของเจ้าของร้าน คนที่ดูไม่อันตรายจะไม่ถูกตาม ฉันเองก็เคยถูกสงสัยและถูกตาม เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจเพราะฉันยังจำวิธีการได้

ในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดาวิดประกาศว่าท่านถูกติดตามโดยการอวยพรจากเบื้องบน นั่นคือ ความดี และความรักมั่นคงของพระเจ้า สองสิ่งนี้อยู่ใกล้และติดตามท่านไปเสมอ ไม่ใช่เพราะความสงสัยแต่เป็นเพราะความรักแท้ “ทูตแฝดผู้พิทักษ์” ตามคำเรียกของผู้ประกาศชาร์ลส์ สเปอร์เจี้ยนนั้น จะติดตามผู้เชื่ออย่างใกล้ชิดตลอดเวลาทั้งในวันที่หม่นหมองและสดชื่น “ในฤดูหนาวอันหดหู่ และฤดูร้อนอันแจ่มใส ความดีของพระเจ้าจะจัดเตรียมให้เราตามความจำเป็น และพระเมตตาจะลบล้างบาปของเรา”

ในฐานะที่เคยเป็นคนเลี้ยงแกะ ดาวิดเข้าใจถึงการจับคู่ของความดีและพระเมตตาที่มาจากพระเจ้า สิ่งอื่นๆอาจติดตามผู้เชื่อ เช่น ความกลัว ความกังวล การทดลอง ความสงสัย แต่ “แน่ทีเดียว” ดาวิดประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ความดีและความรักเมตตาของพระเจ้าจะติดตามเราไปเสมอ

ดาวิดร้องด้วยความชื่นชมยินดีว่า “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์​” (สดด.23:6) ช่างเป็นของขวัญอันยอดเยี่ยมที่จะติดตามเรากลับไปบ้าน!

ขนมแห่งความถ่อมใจ

ขนมมันฝรั่งทอดกรอบถุงเล็ก แต่สอนบทเรียนสำคัญให้แก่มิชชันนารีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ขณะทำงานอยู่ในสาธารณรัฐโดมินิกัน เย็นวันหนึ่งเธอมาถึงการประชุมที่คริสตจักรและแกะถุงมันฝรั่งทอดออกขณะที่หญิงคนหนึ่งที่แทบจะไม่รู้จักกันเอื้อมมือมาหยิบไปสองสามชิ้น คนอื่นๆก็ทำเหมือนกัน

ไม่มีมารยาท มิชชันนารีคนดังกล่าวคิด แล้วเธอก็ตระหนักถึงบทเรียนแห่งความถ่อมใจ เธอยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมของคนที่เธอมาเพื่อจะรับใช้ แทนที่จะให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกเหมือนในสหรัฐอเมริกา เธอได้เรียนรู้ว่าชีวิตในสาธารณรัฐโดมินิกันคือการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน ผู้คนมีความสัมพันธ์กันผ่านการแบ่งปันอาหารและสิ่งของ วิถีของเธอไม่ได้ดีกว่าของพวกเขา แต่แค่แตกต่าง เธอสารภาพว่า “ฉันรู้สึกถ่อมใจลงมากเมื่อได้รู้จักตัวเองในมุมนี้” ขณะเริ่มรับรู้ถึงอคติของตนเอง เธอก็ได้เรียนรู้เช่นกันว่า การแบ่งปันอย่างถ่อมใจกับผู้อื่นช่วยให้เธอรับใช้พวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

เปโตรสอนบทเรียนนี้แก่ผู้นำคริสตจักร คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ ท่านแนะนำบรรดาผู้ใหญ่ไม่ให้ “เป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ” (1 ปต.5:3) ส่วนผู้ที่อ่อนอาวุโส “ก็จงเชื่อฟังคำของพวกผู้ใหญ่ อันที่จริงให้ท่านทุกคนมีความถ่อมใจ​” (ข้อ 5) ท่านประกาศว่า “พระเจ้าทรงเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน” ดังนั้น “จงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร” (ข้อ 6) ขอพระเจ้าโปรดช่วยเราทั้งหลายในวันนี้ให้มีชีวิตที่ถ่อมลงต่อพระองค์และผู้อื่น

มอบงานของฉันให้พระเจ้า

ฉันรู้สึกว่านิตยสารที่ฉันกำลังเขียนบทความให้นั้น “สำคัญ” ฉันจึงพยายามที่จะเขียนบทความที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อนำเสนอแก่บรรณาธิการระดับสูง ด้วยความกดดันที่จะทำให้ได้ถึงมาตรฐานของเธอ ฉันจึงคิดและเขียนใหม่อยู่หลายรอบ แต่ปัญหาของฉันคืออะไร เพราะหัวข้อนั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับฉัน หรือความกังวลของฉัน ที่จริงแล้วเป็นความรู้สึกส่วนตัวว่าบรรณาธิการจะยอมรับในตัวฉันไม่ใช่แค่ข้อเขียนของฉันหรือเปล่า

เปาโลมีคำสอนที่เชื่อถือได้สำหรับความกังวลในเรื่องหน้าที่การงานของเรา ในจดหมายถึงคริสตจักรที่เมืองโคโลสี เปาโลกระตุ้นให้ผู้เชื่อทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อการยอมรับของคน แต่เป็นการยอมรับของพระเจ้า อัครทูตท่านนี้กล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ ท่านปรนนิบัติพระคริสตเจ้าอยู่​” (คส.3:23-24)

เมื่อใคร่ครวญถึงสติปัญญาของเปาโล เราก็จะหยุดดิ้นรนเพื่อจะดูดีในสายตาของหัวหน้าที่เป็นมนุษย์ได้ แน่นอนว่าเราให้เกียรติพวกเขาในฐานะมนุษย์และพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขา แต่ถ้าเราทำงาน “เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยขอให้พระองค์ทรงนำและเจิมงานที่เราทำเพื่อพระองค์แล้วล่ะก็ พระองค์จะทำให้ความพยายามของเราปรากฏชัด แล้วรางวัลของเราคืออะไร ก็คือความกดดันในการงานจะคลี่คลาย และงานที่ได้รับมอบหมายจะสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งเราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า “ดีมาก”

ปลูกไว้ในพระเจ้า

“สายลมกรรโชกพัดดอกไลแลค” เป็นประโยคเริ่มต้นบทกวีแห่งฤดูใบไม้ผลิหัวข้อ “พฤษภาคม” กวีซาร่า ทีสเดล บรรยายถึงภาพพุ่มไลแลคที่โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางกระแสลมแรง แต่ทีสเดลกำลังคร่ำครวญถึงการสูญเสียความรัก และบทกวีของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นทุกข์ระทม

ไลแลคในสวนหลังบ้านเราก็เคยเจอปัญหาเช่นกัน หลังผ่านฤดูแห่งความชุ่มฉ่ำและงดงามที่สุดแล้ว พวกมันถูกช่างตัดหญ้าคนขยัน “เล็ม” ทุกพุ่มและฟันจนเหลือแต่ตอ ฉันร้องไห้ เมื่อผ่านไปสามปี หลังจากกิ่งก้านแห้งๆ โรคราแป้ง และแผนการที่จะขุดมันทิ้งเพราะขาดความเชื่อ ไลแลคจอมอึดของเราก็ฟื้นตัวขึ้น พวกมันแค่ต้องการเวลา และฉันก็แค่ต้องรอคอยในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น

พระคัมภีร์พูดถึงผู้คนมากมายที่รอคอยด้วยความเชื่อแม้จะทุกข์ยากลำบาก โนอาห์รอฝนที่ตกล่าช้า คาเลบรอคอยสี่สิบปีจนได้อยู่ในดินแดนแห่งพระสัญญา เรเบคาห์รอยี่สิบปีจึงได้ให้กำเนิดลูก ยาโคบรอเจ็ดปีที่จะได้แต่งงานกับราเชล สิเมโอนรอแล้วรอเล่าที่จะได้เห็นพระกุมารเยซู ความอดทนของพวกเขาได้รับรางวัลตอบแทน

ในทางกลับกันผู้ที่หวังพึ่งในมนุษย์ “เป็นเหมือนพุ่มไม้ที่อยู่ในทะเลทราย” (ยรม.17:6) ทีสเดลปิดท้ายบทกวีของเธออย่างหดหู่ เธอสรุปว่า “ฉันมุ่งสู่เหมันต์วิถี” แต่ “คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า” เยเรมีย์กล่าวอย่างชื่นชมยินดี “เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ” (ข้อ 7-8)

ผู้ที่ไว้วางใจจะยังคงเติบโตอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเดินไปกับเราทั้งในยามสุขและทุกข์ของชีวิต

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา